รวมสิ่งที่คุณเข้าใจผิดเกี่ยวกับการ ออกกำลังกาย

Share : facebook_share google_share
line_share
twitter_share messenger_share

บทความ รวมสิ่งที่คุณเข้าใจผิดเกี่ยวกับการ ออกกำลังกาย

รวมสิ่งที่คุณเข้าใจผิดเกี่ยวกับการ ออกกำลังกาย



มีหลายอย่างมากมายเกี่ยวกับการ ออกกำลังกาย ที่หลายคนที่ยังเข้าใจผิด แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นทุกเรื่องเสมอไป วันนี้ทาง ratchda-fit24 จึงอยากจะมาไขความกระจ่างเกี่ยวกับการ ออกกกำลังกาย ให้กับคุณกันค่ะ

 

     เมื่อโลกมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกี่ยวกับการ ออกกำลังกาย ก็ทำให้คนสนใจกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่หลายครั้งเราจะพบว่า มีความเชื่อหลายอย่างที่กลายมาเป็นข้อห้าม และข้อปฏิบัติในขณะ ออกกำลังกาย ทุกคนรู้หรือไม่ว่าความเชื่อที่เราได้ยินมานั้น ถูกต้องหรือไม่ วันนี้เราจึงรวบรวมสิ่งที่คุณเข้าใจผิดเกี่ยวกับการ ออกกำลังกาย มาให้ดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง

 

1. การวิ่งทำให้น่องใหญ่

     มีหลายคนกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้จนไม่กล้า ออกกำลังกาย กันเลยทีเดียว เพราะคิดว่าเกรงว่าน่องจะใหญ่ แต่นั่นเป็นความเชื่อที่ผิดค่ะ เพราะการที่กล้ามเนื้อจะมีขนาดใหญ่ได้นั้น จะต้องถูกฝึกด้วยน้ำหนัก หรือการเวทเทรนนิ่ง และใช้แรงต้านที่มาก จึงจะเพิ่มขนาดได้ แต่บางครั้งเราอาจจะพบว่าหลังจากการวิ่ง ออกกำลังกาย กล้ามเนื้อมีการขยายตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก่อนวิ่ง ไม่ต้องตกใจไป เพราะนั่นเป็นกระบวนการทางร่างกายที่กล้ามเนื้อจะขยายตัว เพื่อให้พร้อมต่อการออกกำลังกายครั้งนั้น เมื่อเวลาผ่านไปสักพักหลังจากหยุด ออกกำลังกาย กล้ามเนื้อจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเช่นเดิม

 

2. การเวทเทรนนิ่งทำให้มีกล้าม

     เวทเทรนนิ่ง ( Weight Training ) หมายถึง การ ออกกำลังกาย โดยการใช้แรงต้าน ( Resistance Training ) ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบอุปกรณ์ เช่น ดัมเบล บาร์เบล หรือในรูปแบบของการใช้น้ำหนักตัวเองเป็นแรงต้าน เช่น การซิทอัพ การลุกนั่ง หรือการวิดพื้น  เป็นต้น การ ออกกำลังกาย ด้วยการเวทเทรนนิ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ทำจะมีกล้ามเสมอไป เนื่องจากการที่ขนาดกล้ามเนื้อจะเพิ่มได้จะต้องใช้น้ำหนักที่มาก และยกจำนวนน้อยครั้ง ต้องใช้ท่าทางถูกต้อง พักผ่อนเพียงพอ และได้รับสารอาหารที่เหมาะสมเพียงพอกับการ ออกกำลังกาย แต่ละครั้ง ในทางตรงกันข้าม หากยกน้ำหนักที่น้อย และยกจำนวนมากครั้ง จะทำให้กล้ามเนื้อกระชับ และเกิดความทนทานมากกว่า ดังนั้น จึงควรถามตัวเองก่อนว่าเราจะทำเพื่ออะไร และเลือกใช้น้ำหนักให้เหมาะสมกับความต้องการของเราจะดีที่สุด

 

3. งดดื่มน้ำเพื่อฝึกความทนทาน

     นี่เป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์ การที่คุณงดดื่มน้ำขณะ ออกกำลังกาย ร่างกายจะระบายความร้อนออกจากร่างกาย ทั้งทางเหงื่อ และการหายใจ ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำในร่างกายลดลง หากร่างกายเราขาดน้ำมาก ๆ จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการ ออกกำลังกาย ลดลง ดังนั้น ขณะ ออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำเมื่อรู้สึกกระหาย โดยค่อย ๆ ดื่ม 1-2 อึกเมื่อรู้สึกหายกระหายน้ำแล้วให้หยุดดื่ม และไม่ควรดื่มน้ำในปริมาณมากเกินไปในครั้งเดียว เพราะจะทำให้แร่ธาตุในร่างกายถูกเจือจางอย่างรวดเร็ว และเกิดอันตรายจากภาวะช็อคน้ำได้ ( Hyponatremia )  ดังนั้นขณะ ออกกำลังกาย จึงควรจิบน้ำเป็นระยะ ๆ ในปริมาณที่เหมาะสมดีกว่าการดื่มน้ำทีเดียวในปริมาณมากเมื่อรู้สึกกระหาย

 

4. เหงื่อออกมากแสดงว่าเผาผลาญไขมันได้มาก

     ยิ่งเหงื่อมาก แสดงว่าเผาผลาญได้มาก ? หลายคนเข้าใจว่าการ ออกกำลังกาย ที่หนัก มีเหงื่อออกมาก ๆ เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่านั่นคือ การเผาผลาญพลังงานชั้นเยี่ยม แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากเหงื่อทำหน้าที่ในการช่วยร่างกายระบายความร้อนจากกิจกรรมที่ทำ ไม่ได้บ่งบอกถึงการเผาผลาญพลังงานแต่อย่างใด สิ่งที่จะบอกได้ว่าการ ออกกำลังกาย ครั้งนั้นเผาผลาญไขมันไปได้มากเท่าไร คือระดับความหนักของการ ออกกำลังกาย ที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจในระดับตั้งแต่ปานกลางขึ้นไป และมีระยะเวลาในการ ออกกำลังกาย ที่เหมาะสมต่อความหนักนั้น และรู้หรือไม่ว่า ในเหงื่อมีส่วนประกอบของน้ำถึง 99% และมีสารอื่น ๆ อีกมากมายรวม ๆ กันอยู่เพียง 1% เท่านั้น

 

5. ยิ่งเจ็บยิ่งต้อง ออกกำลังกาย ส่วนนั้นซ้ำ

     อย่าแม้แต่จะคิดบำบัดร่างกายที่เจ็บด้วยการ ออกกำลังกายเลย เพราะการ ออกกำลังกาย ที่หนักเกินไป หรือหนักกว่าที่ร่างกายจะรับได้ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการบาดเจ็บได้ เช่น โหมวิ่งในวันแรกหลังจากไม่ได้ ออกกำลังกาย มานาน วันต่อไปมักเกิดอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อตามมา ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยตามตัว ซึ่งมักมีการแนะนำว่าให้ไป ออกกำลังกาย ซ้ำเพื่อให้หายเจ็บ ซึ่งขัดกับสรีรวิทยาของร่างกายอย่างมาก เพราะกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บนั้นกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว และปรับสภาพให้พร้อมรับงานที่หนักขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู 48 ชั่วโมง ดังนั้น เมื่อเกิดอาการบาดเจ็บ ควรพักการ ออกกำลังกาย ส่วนนั้นก่อน 1 วัน จึงจะเริ่ม ออกกำลังกาย ส่วนนั้นได้อีกครั้ง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ หรือเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อส่วนที่บาดเจ็บอยู่ นอกจากการหยุดพักแล้ว สิ่งที่สำคัญต่อการฟื้นฟูร่างกายอีกอย่างก็คือสารอาหารที่ได้รับหลัง ออกกำลังกาย ควรต้องเน้นกลุ่มโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ เพื่อช่วยซ่อม และฟื้นฟูอวัยวะส่วนนั้น

 

6. วอร์มอัพด้วยการยืดเส้นยืดสายอยู่กับที่ก็พอแล้ว

     การยืดเส้นยืดสายเป็นสิ่งสำคัญมากที่ควรทำก่อนการ ออกกำลังกาย ถือเป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าคุณจะเล่นกีฬาอะไร แต่ทั้งนี้ก็ต้องทำให้ถูกวิธีด้วย หลายคนอาจคิดว่าแค่ยืนยืดขาซ้ายขาขวาอยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แต่นั้นคือความเข้าใจที่ผิด การวอร์มอัพก่อนวิ่งที่ถูกต้อง คือการวอร์มอัพด้วยทวงท่าที่ต้องขยับร่างกาย โดยเฉพาะขา เช่นท่า Butt Kick High Knees หรือท่าเตะลมแบบยืดขา เป็นต้น ส่วนการยืดขานิ่ง ๆ อยู่กับที่ ควรทำหลังวิ่งเสร็จแล้วดีกว่า

 

7. เครื่องคาร์ดิโอสามารถนับแคลอรีที่คุณเผาผลาญได้

     มีความจริงเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นค่ะ เพราะการเผาผลาญแคลอรีจะขึ้นอยู่กับอายุ เพศ ระดับความฟิต และดัชนีมวลกายของแต่ละคน ( BMI ) ดังนั้น ระดับการเผาผลาญของแต่ละบุคคลจึงต่างกัน แน่นอนว่ามีเครื่องคาร์ดิโอบางเครื่องที่ผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลข้างต้นเพื่อนำไปคำนวนแคลอรีที่ถูกเผาผลาญขณะ ออกกำลังกาย ได้ แต่เครื่อง ออกกำลังกาย ส่วนใหญ่ไม่เคยถามถึงแม้แต่น้ำหนัก หรือเพศของคุณ

 

8. อุปกรณ์วัดการเต้นของหัวใจบอกได้ว่าคุณ ออกกำลังกาย หนักแค่ไหน

    อุปกรณ์บางยี่ห้อไม่สามารถวัดการเต้นของหัวใจได้เป๊ะ อาจมีโอกาสผิดพลาดได้จากลักษณะ หรือรูปแบบการ ออกกำลังกาย ของคุณ ดังนั้น ร่างกายคุณเองนั่นแหละ จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่บอกได้ว่าคุณ ออกกำลังกาย หนักระดับใด ด้วยการสังเกตการพูดของตัวเอง เช่น พูดได้ตามปกติ พูดเป็นประโยคสั้น ๆ หรือ ยากที่จะพูดได้แม้เพียงเป็นคำ

 

9. น้ำหนักคือทุกสิ่ง

     สิ่งสำคัญ คือ น้ำหนัก น้ำหนักของคุณมีความเกี่ยวข้องกับระดับความฟิตของร่างกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากกล้ามเนื้อมีน้ำหนักมากกว่าไขมันในขนาดเท่ากัน หรือมีขนาดเล็กกว่าในน้ำหนักที่เท่ากัน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่น้ำหนักของคุณจะเพิ่มขึ้นเมื่อคุณปรับเปลี่ยนรูปแบบการรับประทานอาหาร และ ออกกำลังกาย อย่างเหมาะสมไปสักระยะ ด้วยเหตุนี้จึงควรวัดผลด้วยความหลวมของเสื้อผ้าที่ใส่ หรือตั้งเป้าหมายเป็นการลดสัดส่วนแทนการลดน้ำหนัก

 

10. การ ออกกำลังกาย ที่มีความเข้มข้นต่ำ สามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่า

     เมื่อคุณ ออกกำลังกาย ที่มีความเข้มข้นสูงขึ้นจะมีการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตในอัตราส่วนที่สูงขึ้น โดยที่มีอัตราส่วนการเผาผลาญไขมันน้อยลงในแต่ละแคลอรี แต่หากลองคิดถึงรายละเอียดให้ดีจะพบว่า ยิ่ง ออกกำลังกาย ที่มีความเข้มข้นมากขึ้นจะยิ่งมีการเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าร่างกายจะต้องขุดเอาไขมันมาใช้หลังจากที่เผาผลาญคาร์โบไฮเดรตไปหมดแล้ว

 

11. คุณสามารถ ออกกำลังกาย เพื่อลด หรือเพิ่มกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนได้

     หากร่างกายของคุณมีการ ออกกำลังกาย ซ้ำมากขึ้นก็จะยิ่งสร้างความจดจำในกล้ามเนื้อ และลดผลลัพธ์จากการ ออกกำลังกาย ลง ทำให้ร่างกายของคุณไม่เผาผลาญไขมันมากเหมือนเคย ซึ่งการ ออกกำลังกาย ทุกส่วนของร่างกายจะเป็นการช่วยลดการจดจำของกล้ามเนื้อ และเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี ซึ่งก็คือการเผาผลาญไขมัน

 

12. ตราบเท่าที่ ออกกำลังกาย อยู่จะสามารถรับประทานได้เท่าที่ต้องการ

     เมื่อคุณทานอาหารเข้าไปกี่แคลอรี่ก็ตาม อย่างน้อยคุณต้องเบิร์นออกให้ได้ 50-70% ของที่ทานเข้าไป การลดน้ำหนัก และไขมัน เกิดขึ้นเมื่อร่างกายของคุณได้รับแคลอรีเข้าไปน้อยกว่าที่ใช้แต่ละวัน แต่อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนแคลอรีอย่างหนักจะส่งผลในทางตรงกันข้าม นอกจากนี้กล้ามเนื้อยังต้องการอาหาร ดังนั้น คุณจึงควรรับประทานทั้งไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสม

 

13. คาร์ดิโอ คือหนทางเดียวในการลดน้ำหนัก

     อย่าคิดแบบนั้นค่ะ สาว ๆ คาร์ดิโอถือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการทำงานของหัวใจ และเพิ่มความอึดของร่างกาย แต่ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการเผาผลาญไขมัน เนื่องจากมีพลังงานเก็บอยู่ภายในกล้ามเนื้อมาก ทำให้ร่างกายเริ่มนำเอาพลังงานจากส่วนนี้มาใช้หลังจากยืดระยะเวลาการคาร์ดิโอออกไปจากช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งช่วงเวลา 10-25 นาที คือระยะเวลาที่เหมาะสมในการช่วยให้หัวใจมีการทำงานที่ดีและเพิ่มความอึดของร่างกาย โดยที่ยังไม่เข้าไปสู่ช่วงที่ร่างกายจะใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อ

 

14. ควรคาร์ดิโอในตอนเช้าที่ท้องว่างเพื่อเผาผลาญไขมัน

     แนะนำว่าควรทานคาร์โบไฮเดรต หรือโปรตีนสักเล็กน้อยก่อน ออกกำลังกาย เพราะร่างกายของเรามีกระบวนการเผาผลาญอาหารที่ต่ำมากที่สุดในตอนเช้า เนื่องจากคุณไม่ได้รับประทานอาหารมาเป็นเวลา 8 ชม. หลังจากที่นอนหลับ การรับประทานอาหารเช้าที่เหมาะสมจึงช่วยให้คุณสามารถ ออกกำลังกาย ได้นานขึ้น และกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกายก็จะพร้อมสำหรับการทำงานด้วย

 

15. การดื่มน้ำเย็นจะช่วยเผาผลาญไขมัน

     สิ่งนี้ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าการดื่มน้ำเย็นส่งผลต่อร่างกาย และบังคับให้ร่างกายต้องทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไปนั้นอุ่นขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้มีกระบวนการเผาผลาญในร่างกายมากขึ้น ส่งผลต่อการเผาผลาญไขมันว่าเป็นความจริงหรือไม่

 

     ความเชื่อที่ผิด ๆ เหล่านี้อาจทำให้การ ออกกำลังกาย ดูเป็นเรื่องที่น่ากลัว และทำให้ไม่ชอบการ ออกกำลังกาย ได้ ดังนั้น หากคุณกำลังพบว่าตัวเอง หรือคนรอบตัวมีความเชื่อที่ผิด ๆ เกี่ยวกับการ ออกกำลังกาย ควรทำความเข้าใจใหม่ เพื่อที่จะให้ ออกกำลังกาย ได้อย่างสบายใจ และถูกวิธีนั่นเอง

 

อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

ฟิตเนส FIT24 สาขารัชดา เปิดให้บริการ แล้ววันนี้

ออกกำลังกาย บนลู่วิ่งใน ฟิตเนส ( Fitness ) อย่างไรไม่ให้น่าเบื่อ



บทความที่น่าสนใจ

ออกกำลังกาย เวลาไหนดีที่สุด
ไอเดียออกกำลังกายที่บ้านต่อต้านโควิด-19